ข่าวชิ้นสุดท้าย
เนตรนภา แก้วแสงธรรม
แสงแดดทะลุเข้ามายังห้องเช่ากลิ่นอับชื้น ฉันลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างลวกๆ เลือกชุดที่ยับน้อยที่สุดมาใส่ หาหยิบของสองสามชิ้นติดตัวก่อนผลุนผลันออกจากห้อง
ป้ายรถเมล์คนพลุกพล่าน รถสายที่เข้าป้ายไม่ใช่สายผ่านจุดหมายปลายทางคันแล้วคันเล่า ฉันลอบมองนาฬิกาจากข้อมือคนข้างๆ แล้วจึงวิ่งขึ้นรถเมล์สาย 42 ที่ผ่านเส้นทางใกล้ที่ทำงาน
พขร.ตีนผีขับรถฉวัดเฉวียนเหมือนอยากลงนรก “นั่นอาจเป็นหนทางเดียวที่เขาทำได้ เพื่อสร้างสีสันให้ชีวิตแคบๆ” ฉันคิด มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ จากเส้นทางเดิมๆ ของทุกวัน…อพาร์ตเมนท์ไปที่ทำงาน งานที่ทำ คนที่เจอ สิ่งของที่มีอยู่ ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหมือนเดิม…เหมือนเดิมแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง มันน่าเบื่อจนฉันกลัวว่า สักวันหนึ่งฉันจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
ฉันรู้ตัวดีว่า กำลังอยู่ในช่วงที่วันเวลาแห่งวัยหนุ่มสาวผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่กระชากความฝันรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่เมื่อวานนี้ ฉันยังเป็นเด็กสาวที่มีความฝันมากมายไม่มีที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มาวันนี้ แม้แต่การหายใจอย่างปกติธรรมดาที่สุด ฉันก็ยังต้องเค้นออกมาเป็นห้วงๆ อย่างยากเย็น จนน่าเชื่อว่าพรุ่งนี้ ฉันคงจะตายหรือไม่ก็คงจะต้องป่วยหนัก
ทุกเย็น มีเพียงการเฝ้ามองท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง ที่ช่วยให้ฉันเห็นว่ายังมีสิ่งที่เปลี่ยนไปทุกวัน …ท้องฟ้าไม่เคยเหมือนเดิมเลย…ความรู้สึกของเราต่างหากที่เราพยายามทำให้เหมือนเดิม
ด้วยเหตุที่ท้องถนนมักไม่มีเรื่องราวของความฝัน ฉันจึงบรรจุความฝันอยู่ในความนึกคิด ฉันเฝ้าคิดเสมอถึงเรื่องราวของผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่าง“มั่นคง” มีบ้าน มีรถ มีหน้าที่การงานประจำ พวกเขาดื่มกินไปทุกวันด้วยรสชาติที่คุ้นเคย ฉันสงสัยว่าพวกเขาเคยมีความฝันอย่างไร เคยมีความรู้สึกอย่างไร พวกเขาลืมวันแรกๆ ของความฝันได้อย่างไร ทั้งที่ความฝันเช่นนั้นมักจะรบกวนใจฉันอยู่เสมอๆ
การคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ระหว่างทางจากที่พักไปยังที่ทำงาน มันทำให้ฉันเริ่มต้นงานอย่างจืดชืด เมื่อไปถึงโต๊ะทำงาน กระดาษปึกใหญ่รอการตรวจปรู๊ฟ ฉันจะสมมติตัวเองว่าเป็นนักตรวจทานต้นฉบับมือหนึ่ง หากหนังสือพิมพ์ขาดฉันไปสักคน วันรุ่งขึ้น ผู้อ่านมักจะได้เสพข่าวสารที่มีคำสะกดผิดเต็มไปหมด ก็พวกนักข่าวนอกจากจะเขียนข่าวผิดๆ แล้ว เขายังชอบสะกดคำง่ายๆ ผิดอยู่เสมอ เป็นต้นอย่างคำว่า ปรากฏ พวกเขาไม่เคยรู้ว่ามันใช้ตัว ฏ หรือ ฎ กันแน่ เมื่อไม่รู้ พวกเขาจึงชอบใช้สองคำนี้สลับมั่วไปหมด เหมือนกับการใช้ความฝันกับความจริงสลับไปกันตลอดเวลา
หน้าที่ตรวจปรู๊ฟวันละ 8 หน้า มันเคยทำให้ฉันอยากเป็นคนเขียนบ้าง แต่ฉันก็สลัดความคิดอันนี้ออกไป เพราะมันไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เป็นแต่เพียงการเดินตามรอยเท้าคนอื่น หรือเดินตามรอยความคุ้นเคยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่คนเราทำงานอย่างเดิมๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็จะเริ่มจับทางมันถูก บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าความชำนาญ ส่วนฉันเรียกมันว่าความมืดบอด สำหรับงานข่าว ในหน้าหนังสือพิมพ์ 1 หน้า จะมีสัดส่วนข่าวที่คล้ายกับการจัดสำรับอาหาร พวกเขาแต่งอาหารคาวสำหรับข่าวหลัก 2-3 ชิ้น ซึ่งมีรถชาติเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม คละเคล้ากัน และมีข่าวชิ้นเล็กๆ 1 ชิ้น เป็นของหวานตบท้าย
เช่นเดียวกับสำรับข่าวหน้า 1 ของวันนี้ พาดหัวข่าวที่ฉันกำลังตรวจทานอยู่ เขียนว่า “รัฐบาลเน้น SMEs กระตุ้นภาคศก. หวังโต 5%” เป็นข่าวฉันเคยผ่านตามาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้งในรอบปี จนน่าสงสัยว่าคำเดิมๆ มีคุณค่าสำคัญสำหรับข่าวหลักอีกครั้งได้อย่างไร
“ค้าปลีกต่างชาติรุกหนัก โชว์ห่วยไทยดิ้นสู้ฟัด” เพื่อทดแทนข่าวเศรษฐกิจที่ไม่มีความเคลื่อนไหวเหมือนเช่นเคย พวกเขาก็เอาข่าวเหมือนปลาสำลักน้ำตื้นมาเขียนอีก
“ยาบ้าจับตัวประกัน 3 ชม. ตร. ตะครุบเหยื่อไม่รอด” ไม่มีใครบอกพวกนักข่าวหรือไงว่า อย่าเอาตัวย่อสองชุดมาเรียงต่อกัน จนทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง
“ผัวก่อสร้าง ฆ่าเมียรับจ้างมีชู้”
“รถทัวร์คว่ำ ตาย 2 เจ็บระนาว” “หนูน้อยชะตาขาด ชิงช้าหล่นทับ ตายคาที่” “อนาถแม่เฒ่าวัย 90 อยู่เดียวดาย ลูกหลานไม่เหลียวแล”
ฯลฯ
หลังตรวจทานข่าวเทือกนี้เสร็จ หน้ากระดาษเต็มไปด้วยคำผิดที่ถูกตรวจแก้ด้วยปากกาสีแดงเถือก มิหนำซ้ำเนื้อข่าวก็ไร้สาระ เป็นอีกครั้งที่ฉันผิดหวังว่า ไม่มีข่าวประจำวันชิ้นใดเลยที่มีอิทธิพลมากพอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและความคิดของผู้อ่านในวันนั้นๆ
พวกนักข่าวไม่รู้เลยว่าสำหรับคนอ่านข่าวแล้ว เรากำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสัญญาณของการมีชีวิต เพราะนานแล้วที่เราเสพข่าวอย่างเคยชิน จนไม่รู้สึกรู้สา ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่กลัว ไม่หวั่น ต่อข่าวแย่ๆ ของผู้คนในสังคม นักข่าวกำลังขายความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฝากด้วยนะ สร้อย ข่าวสิ้นสุดท้าย” เวรข่าวประจำวันเดินมาบอกฉัน พร้อมกับวางเนื้อข่าวลงตรงหน้า
“หน้าไม่เต็ม ต้องโป๊ะข่าวย่อยอีกข่าวหนึ่ง ก็แค่ข่าวเล็กๆ หรอก” เขาว่า ฉันก้มลงมองข่าวชิ้นสุดท้าย เดาว่ามันคงเป็นข่าวที่คัดลอกมาจากสำนักข่าวเหมือนเช่นเคย
“เด็กชาย 9 ขวบ ปั่นจักรยานข้ามจังหวัด ตามหาปู่”
มันเป็นข่าวแปลกๆ นะชิ้นนี้ พาดหัวข่าวไม่มีตัวสะกดผิด เมื่อตรวจทานเนื้อข่าวสั้นๆ ก็พบว่า ทั้งหมดเขียนถูกต้อง มันเป็นชิ้นเดียว ในช่วงเวลาเกือบห้าปีที่ไม่มีรอยขีดฆ่าตรวจแก้…
ห้าปีหรือนี่ ? ฉันอยู่ที่นี่มานานถึงเพียงนี้ทีเดียว มิหนำซ้ำยังคิดเรื่องความฝันซ้ำซากๆ เหมือนเดิมทุกวัน ขณะที่เด็กชายวัยเก้าขวบกลับใช้สัญชาติญาณของตัวเอง ไม่กลัวต่อสิ่งที่คนอื่นกลัว “ออกไปข้างนอก” มันคงเป็นสัญญาณบอกอะไรฉันบางอย่าง ถึงการตัดสินใจที่ต้องสิ้นสุดลง
“ชิ้นนี้ตรวจแล้ว กลับละ” ฉันบอกฝ่ายจัดหน้าขณะส่งข่าวให้ “พรุ่งนี้ คงไม่มา”
“ลาเหรอ” เขาถาม
ฉันไม่ตอบ เมื่อไดัรับสัญญาณให้ออกจากจุดเริ่มต้น เพียงรู้สึกได้เช่นนี้ ฉันก็รู้สึกเบา...เสมือนมีลมหายใจขึ้นอีกครั้ง
0 Comments:
Post a Comment
<< Home